กลยุทธ์การตลาดแบบ STP (Segmentation, Targeting, Positioning) เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจและตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีลักษณะเฉพาะ ผ่าน 3 ขั้นตอนหลักคือ Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด), Targeting (การเลือกกลุ่มเป้าหมาย) และ Positioning (การสร้างตำแหน่งทางการตลาด)
1. Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด)
การแบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มๆ ตามลักษณะต่างๆ ของลูกค้า เช่น พฤติกรรม, ความต้องการ, อายุ, เพศ, สถานภาพทางสังคม หรือภูมิศาสตร์ การแบ่งส่วนตลาดช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจและระบุลักษณะเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดีขึ้น ทำให้สามารถสร้างแผนการตลาดที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้น
ประเภทของการแบ่งส่วนตลาด
- แบ่งตามประชากรศาสตร์ (Demographic) เช่น อายุ, เพศ, รายได้, การศึกษา
- แบ่งตามภูมิศาสตร์ (Geographic) เช่น ประเทศ, ภูมิภาค, หรือเมือง
- แบ่งตามจิตวิทยา (Psychographic) เช่น ความชอบ, ไลฟ์สไตล์, ค่านิยม
- แบ่งตามพฤติกรรม (Behavioral) เช่น พฤติกรรมการซื้อ, การใช้ผลิตภัณฑ์, ความภักดีต่อแบรนด์
ตัวอย่าง แบรนด์เสื้อผ้าอาจจะแบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มวัยรุ่น, ผู้ใหญ่, และผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถออกแบบเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มได้
2. Targeting (การเลือกกลุ่มเป้าหมาย)
หลังจากที่แบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มต่างๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจนำเสนอ การเลือกกลุ่มเป้าหมายจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ขนาดของกลุ่ม, การแข่งขันในตลาด, และความสามารถในการตอบสนองความต้องการของกลุ่มนั้นๆ
วิธีการเลือกกลุ่มเป้าหมาย
- กลุ่มที่มีขนาดใหญ่และมีศักยภาพทางการตลาดสูง
- กลุ่มที่สามารถทำกำไรให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว
- กลุ่มที่สามารถเข้าถึงและสื่อสารได้ง่าย
ตัวอย่าง ถ้าขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย อาจเลือกกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เนื่องจากพวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะสนใจสินค้ามากกว่า
3. Positioning (การสร้างตำแหน่งทางการตลาด)
การสร้างตำแหน่ง (Positioning) คือการสร้างภาพลักษณ์หรือความรู้สึกในใจของลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นโดดเด่นและมีความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด การกำหนดตำแหน่งจะช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแบบที่ไม่มีใครทำได้
วิธีการสร้างตำแหน่ง
- เน้นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ เช่น คุณภาพ, ราคา, หรือฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร
- ใช้ข้อความที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความแตกต่าง การสร้างการรับรู้ในลักษณะเฉพาะตัวที่สะท้อนถึงคุณค่าหรือประสบการณ์ที่แบรนด์ต้องการนำเสนอ
ตัวอย่าง แบรนด์สมาร์ทโฟนอาจวางตำแหน่งตัวเองเป็น "สมาร์ทโฟนที่มีฟีเจอร์กล้องที่ดีที่สุด" หรือ "สมาร์ทโฟนที่เหมาะสำหรับการใช้งานธุรกิจ"
ประโยชน์ของการใช้กลยุทธ์ STP
- การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงสุด
- การปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับลูกค้า การเข้าใจในความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าช่วยให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และแคมเปญการตลาดที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร โดยการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม ธุรกิจสามารถใช้ทรัพยากรการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียเวลาและเงินไปกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่เหมาะสม
- สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง การวางตำแหน่งแบรนด์อย่างชัดเจนจะทำให้แบรนด์โดดเด่นและเป็นที่จดจำในใจของลูกค้า
สรุป
กลยุทธ์ STP Marketing เป็นกระบวนการที่ทำให้ธุรกิจสามารถระบุและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านการแบ่งส่วนตลาด (Segmentation), เลือกกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) และสร้างตำแหน่งทางการตลาดที่มีความแตกต่าง (Positioning) ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดและมีผลต่อการสร้างความสำเร็จในตลาด
---Wynnsoft Solution รับทำเว็บไซต์ รับทำ SEO รับทำการตลาดออนไลน์ รับทำโฆษณา Facebook รับทำเว็บไซต์ ขอนแก่น และรับทำเว็บไซต์ทั่วประเทศ—
ข้อมูลจาก: นักเขียนนิรนาม